1. ทำเลการเดินทาง
การเดินทาง ทางด่วน และขนส่งสาธารณะถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ควรเลือกทำเลที่สามารถเดินทางได้ง่าย มีรถประจำทางผ่าน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า หรืออย่างน้อย ๆ ควรมีวินมอเตอร์ไซค์ เผื่อวันไหนไม่อยากขับรถยนต์ส่วนตัวออกมา ก็สามารถเดินทางไปทำธุระได้สะดวก และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่แพงเกินไป2. สะดวกต่อการทำงาน
สำหรับคนที่ต้องเดินทางออกจากบ้านไปทำงานทุก ๆ วัน คงจะเหนื่อยไม่น้อย หากต้องฝ่ารถติดไปทำงานอีกฟากของเมือง หรือขึ้นรถหลายต่อกว่าจะถึงออฟฟิศ ฉะนั้นควรเลือกที่ดินที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เพื่อให้มีเวลาอยู่กับครอบครัวและพักผ่อนมากขึ้น อีกทั้งยังไม่เสียสุขภาพจิตหงุดหงิดกับปัญหาการจราจรด้วย3. ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก
นอกจากเรื่องการเดินทางแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า หรือตลาด ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นกับการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นที่ดินที่ดีควรอยู่ในระยะที่ไป-มาสะดวก เดินทางง่าย เข้า-ออกได้หลายสาย
4. ไม่เสี่ยงน้ำท่วม
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบก็คือ สภาพของที่เป็นดินเป็นอย่างไร เป็นที่ต่ำหรือเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมมากน้อยแค่ไหน คงไม่ดีแน่หากบ้านหรือบริเวณใกล้เคียงมีน้ำท่วมทุกครั้งที่ฝนตก เพราะนอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของเราแล้ว ยังมีอันตรายอีกมากมายที่มาพร้อมกับน้ำท่วม ทั้งสัตว์ แมลง รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ไข้เลือดออก โรคฉี่หนู และโรคผิวหนัง5. สภาพแวดล้อม
เนื่องจากบ้านเป็นสถานที่ที่เราพักอาศัยและใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน เพื่อความสงบสุขและปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน จึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อที่ดินสร้างบ้าน ทั้งนี้บรรยากาศโดยรอบบริเวณที่ดินนั้นไม่ควรจะตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยว ไม่มีมลพิษหรือโครงการก่อสร้างที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นควัน รวมถึงเพื่อนบ้านและสัตว์เลี้ยงว่ามีการส่งเสียงดังรบกวนหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องที่ควรใส่ใจสำหรับคนที่กำลังมองหาที่ดินสร้างบ้าน นอกจากเรื่องราคาแล้ว ก็อย่าลืมคำนึงถึงสภาพแวดล้อมด้วยว่าเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล การเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงที่ตั้งและบรรยากาศโดยรอบ